วันวมินทรมหาราช

วันที่ 13 ตุลาคม 2568 วันครบรอบ 9 ปี วันคล้ายวันสวรรคต ในหลวง รัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) พระมหากษัตริย์ที่อยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวไทย

ถ้านับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 จัดได้ว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองราชย์เป็นเวลา 70 ปี 126 วัน (ปีพ.ศ. 2489 -2559) ยาวนานที่สุดในราชวงศ์จักรี และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดอันดับ 3 ของโลก

ช่วงเวลาการครองราชย์ที่ยาวนาน พระองค์ทรงงานหนักในหลายๆ ด้าน และทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทย…

ความทรงจำ : จากสยามสู่โลซานน์

ช่วงที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ทรงมีพระชนมายุ 18 ปี เมื่อเสด็จนิวัติสู่พระนครไม่นาน ก็ต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 

วันที่เสด็จพระราชดำเนินกลับ เมื่อรถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชน มีประชาชนคนหนึ่งตะโกนว่า  “ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน”

 เรื่องนี้พระองค์พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันไว้ว่า

“วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลา ก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีทรงออกแบบชุด มารายห์ แครี่ ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต12 ต.ค. 2025 เวลา 12:21 น.

ป้ายยา 10 หนังสือใหม่ น่าอ่านหลากรส ในงานหนังสือ ต.ค. 202512 ต.ค. 2025 เวลา 12:10 น.

Mariah Carey ฟินาเล่ด้วยชุดเดรสผ้าไหมไทย SIRIVANNAVARI Couture12 ต.ค. 2025 เวลา 3:03 น.

แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ ตลอดทางที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จอย่างล้นหลาม ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดี บางแห่งใกล้จนทอดพระเนตรเห็นดวงหน้าและแววตาชัด ที่บ่งบอกถึงความเสียขวัญอย่างใหญ่หลวง ทั้งเต็มไปด้วยความรักและห่วงใย

พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถ แล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่า เป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก

ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่า ล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด

ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพร ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ เข้าพระกรรณว่า….”

 “ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน”

อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้”

วันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 ปีที่ 9  กษัตริย์ในความทรงจำ
  • ความทรงจำ : ทรงผนวช

ในช่วงที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 10 ปี ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระองค์หยุดการเรียนรู้ในศาสตร์และศิลป์เรื่องต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรียนรู้การปกครองด้วยคุณธรรม

ทรงผนวช เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ตอนนั้นทรงมีพระชนมายุ 29 ปี โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13) ทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ และทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ทำหน้าที่ถวายคำแนะนำต่างๆ

ช่วงเป็นพระภิกษุสงฆ์ ทรงพระราชดำเนินไปตามถนนเยี่ยงพระสงฆ์ด้วยพระอิริยาบถที่สำรวม ทรงหยุดรับบิณฑบาตจากประชาชนด้วยความสงบ โดยไม่มีหมายกำหนดการ ตั้งแต่เวลา 05.50-06.50 น.

ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ ทรงทำวัตรเช้า และทำวัตรเย็น ทรงสดับพระวินัยและพระธรรม ทรงศึกษาธรรมโดยไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชและพระเถระ ผู้ประดุจพระอาจารย์ ตลอดเวลาที่ทรงผนวช 15 วัน ทรงปฏิบัติพระองค์ให้อยู่ในกิจวัตรที่สงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติ

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชกลมหาสังฆปริณายก เคยกล่าวไว้ว่า “พระองค์ ทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มิได้ทรงเป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่า หัวใหม่ ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา และทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด”

วันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 ปีที่ 9  กษัตริย์ในความทรงจำ
  • ความทรงจำ : ประพาสยุโรป

ช่วงเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีปัญหาหลายอย่าง พระองค์จึงทรงงานหนัก และต้องเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี เยือนอเมริกาและยุโรป ปีพ.ศ. 2503 ก็เพื่อดำรงไว้ซึ่งเอกราชของประเทศ

และหลังจากปีพ.ศ. 2510 พระองค์ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีกเลย ยกเว้นปี พ.ศ. 2537 เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมๆ แล้วเกือบ 50 ปีที่พระองค์ไม่เสด็จออกนอกแผ่นดินไทย

 “ในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เมื่อปี พ.ศ.2503 ผู้สื่อข่าวต่างชาติสัมภาษณ์พระองค์ ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งยุติ ในหลวงตรัสถึงเรื่องคอมมิวนิสต์

เพราะหลังจากครองราชย์ พระองค์เสด็จเยือนเวียดนามใต้ เป็นประเทศแรก เนื่องจากประเทศนี้เป็นฐานบัญชาการของโลกเสรีประชาธิปไตยที่ต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์” ไกรฤกษ์ นานา นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เคยให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจ

การเยือนเวียดนามใต้ครั้งนั้น พระองค์ทรงอยากให้นานาประเทศรู้ว่า ประเทศไทยไม่ได้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และในปีพ.ศ. 2503 ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยือนอเมริกา เพื่อยืนยันสถานะบางอย่างของประเทศไทย

ในหนังสือพิมพ์ต่างชาติ ภาพการจับมือของพระองค์กับ ประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ทำให้ชาวโลกเห็นว่า ประเทศไทยเดินตามแนวทางประชาธิปไตย

หลังจากเสด็จพระราชดำเนินเยือนอเมริกาและยุโรป ในหลวง รัชกาลที่ 9 ยังเสด็จเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัดตลอดหลายสิบปีเพราะช่วงเวลานั้นเรื่องราวของคอมมิวนิสต์มาแรง

“อเมริกากลายเป็นกระบอกเสียงบอกยุโรปว่า ไทยไม่เคยประกาศสงคราม ถ้าตอนนั้นอเมริกาไม่รับรอง ไทยก็ไม่รอด” ไกรฤกษ์ เล่าไว้ และโยงให้เห็นถึงพระราชภารกิจ เพื่อประเทศของในหลวง รัชกาลที่ 9

“ตอนเสด็จอเมริกา ทุกพระบรมฉายาลักษณ์ที่ออกมา พระพักตร์ไม่แจ่มใส ต่างจากตอนพระองค์ ทรงฉายพระรูปคู่พระราชินีอังกฤษ มีพระพักตร์แจ่มใส กระทั่งอเมริการับรองว่า ไทยไม่ใช่พันธมิตรญี่ปุ่น เพื่อให้อังกฤษยอมรับ”

 นี่คือภาพประวัติศาสตร์เชิงสัญลักษณ์สันติภาพยุคนั้น ถือเป็นภาพเปลี่ยนประวัติศาสตร์ จากผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง มาอยู่ฝ่ายชนะสงคราม ไม่ต้องเสียดินแดนบางส่วน และยังคงไว้ซึ่งประเทศที่มีเอกราช

วันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 ปีที่ 9  กษัตริย์ในความทรงจำ
  • ความทรงจำ : การสวรรคต 

    สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงงานมาตลอด 70 ปีของการครองราชย์ ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม หรือแม้แต่พระราชดำรัส พระราชดำริ รวมถึงวิธีการที่พระองค์ทรงมีปฏิสันถารกับบุคคลต่างๆ ทั้งพระสงฆ์และพระอริยสงฆ์ นั่นก็คือ สิ่งที่เป็นมรดกที่ทรงทิ้งไว้ให้พสกนิกรคนไทย 

ย้อนไปถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ในวันสวรรคตของรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ไม่ใช่เฉพาะพสกนิกรชาวไทย ยังรวมถึงโลกพุทธศาสนา เพราะในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นพระองค์เดียวที่เรียกได้ว่า เป็นเอกอัครราชูปถัมภกของโลกพุทธศาสนา ประเทศอื่นๆ แม้จะมีพระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้มีฐานะแบบพระองค์ 

พระอนิลมาน ธฺมมสากิโย (ศากยะ) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ เคยเล่าถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 ตอนที่สวรรคตปี 2559 ว่า  มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงพระประชวรหนัก น่าจะปีพ.ศ. 2525 ตอนนั้นคณะแพทย์เห็นว่า ต้องเสด็จพระราชดำเนินรักษาพระอาการที่ต่างประเทศ แต่ทรงปฏิเสธ และไม่มีใครรู้ว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จต่างประเทศ

“พระองค์มีพระราชกระแสว่า ถ้าทรงทำอะไรไม่ได้ พระองค์ก็จะรักษาพระองค์เอง ตอนนั้นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตรัสว่า ช่วงที่หมอไม่รู้จะรักษายังไงเกี่ยวกับพระราชหฤทัย ช่วงนั้นก็เลยใช้วิธีเปิดเทปเทศน์กรรมฐาน แล้วพระองค์บรรทมฟังเทป พอฟังไปสักพัก พระองค์อาการดีขึ้น ซึ่งหมอก็งง

และมีอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล ตรัสกับอาตมาว่า อยากให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสังเวชนียสถาน เพราะพระองค์เป็นพุทธมามกะ

และพระองค์ไม่เคยเสด็จที่นั่นเลย กราบทูลหลายครั้ง ซึ่งตอนนั้นมีพระราชดำรัสว่า ความจริงแล้วอยากเสด็จสังเวชนียสถานมาก แต่ว่าติดสัญญาใจ ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ตราบใดที่คนไทยทุกคนยังไม่มีความสุข พระองค์จะไม่เสด็จต่างประเทศ 

ก่อนจะไม่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีกเลย เมื่อวันที่ 21-24 มิถุนายน พ.ศ. 2510 เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดา หลังจากนั้นว่างเว้นมานาน กระทั่งเสด็จพระราชดำเนินเยือนลาว เมื่อวันที่ 8-9 มีนาคม พ.ศ2537 ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้าย

เหตุใดตอนนั้นในหลวง รัชกาลที่ 9 ไม่ค่อยเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ แม้กระทั่งตอนที่ทรงพระประชวร ทั้งๆ ที่คณะแพทย์ลงความเห็นว่า ควรเสด็จเพื่อรักษาพระอาการประชวรในประเทศแถบตะวันตกที่มีเทคโนโลยีดีกว่าเมืองไทย แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ

เรื่องนี้ พระอนิลมาน เล่าไว้ว่า ตอนที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล ตรัสถาม

“แล้วพระองค์ ทรงเอาอะไรเป็นเกณฑ์ว่า คนไทยไม่มีความสุข เพราะประเทศไทยก็เจริญขนาดนี้แล้ว”

 พระองค์มีพระราชดำรัสตอบว่า… 

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในพระราชหฤทัยรู้สึกว่า คนไทยยังไม่มีความสุข”